“ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งการเลี้ยง ‘ปลาหางนกยูง‘ จากแค่รายได้เสริมจะเป็นการต่อยอดสู่รายได้หลักในการหล่อเลี้ยงครอบครัวได้….” เสียงจากหญิงสาวท่านหนึ่ง ผู้ที่เป็นเจ้าของฟาร์มปลาหางนกยูงส่งออก ณ ปัจจุบัน ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมาอย่างมากมาย กว่าจะประสบความสำเร็จได้ถึงทุกวันนี้ ด้วยวัยเพียง 24 ปี เท่านั้น!!
วันนี้ MThaiNews ในช่วง ‘เกษตรสร้างรายได้‘ มีโอกาสได้พบกับคุณสุดที่รัก แผลงพาลี หรือคุณฟ้า อายุ 24 ปี เจ้าของ ‘บูฟาร์มปลาหางนกยูงนนทบุรี‘ ตั้งอยู่ภายในซอยสามัคคี 22 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี จากอดีตกุ๊กทำอาหาร ที่เริ่มต้นทำงานตั้งแต่อายุ 18 ปี ก่อนจะพลิกผันมาเพาะ ‘ปลาหางนกยูง’ คัดเกรด สร้างรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน พร้อมกับมีกลุ่มลูกฟาร์มกว่า 20 ราย สร้างกลุ่มเครือข่ายส่งออกปลาหางนกยูงสู่ต่างแดน
โดยคุณฟ้า เปิดเผยกับทีมข่าว MThai ว่า เริ่มทำงานมาตั้งแต่อายุ 18 ปี เป็นกุ๊กทำอาหาร ระหว่างนั้นก็ได้ทำการเพาะกุ้งก้ามแดงไปด้วย ซึ่งช่วงนั้นกำลังเป็นที่นิยมเลี้ยงอย่างมาก จนกระทั่งมาช่วง2-3 ปีที่ผ่านมา กระแสการเลี้ยงกุ้งก้ามแดงก็ตกลงไป คุณพ่อเลยให้คำแนะนำให้มาเพาะเลี้ยงปลาหางนกยูง ซึ่งคุณพ่อก็ทำฟาร์มปลาหางนกยูงอยู่แล้ว แต่ไม่ถนัดด้านการตลาด จึงเข้ามาช่วยเรื่องการทำการตลาดจากในโซเชียล กระทั่ง 2 ปีที่แล้ว ได้ตัดสินใจออกจากงานประจำ เพื่อมุ่งมั่นสู่การเพาะปลาหางนกยูงอย่างจริงจัง
ช่วงๆแรกที่เข้ามาทำค่อนข้างยาก เนื่องจากไม่ได้มีความรู้เรื่องการเลี้ยงปลามากเท่าไรนัก ซึ่งยอมรับว่าต้องลองผิดลองถูกเกือบ 1 ปี แต่ก็แลกมาด้วยประสบการณ์อันล้ำค่า ทั้งเรื่องการเลือกซื้อสายพันธุ์ปลาเกรด วิธีการเลี้ยง การดูแลและรักษาหากปลาป่วย รวมถึงเรื่องของอาหารปลา
สำหรับวิธีการเลี้ยง ‘ปลาหางนกยูง‘ นั้น คุณฟ้า เผยว่าเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ใส่ใจ 2 เรื่องสำคัญคือ ‘อาหารและน้ำ’ โดยที่ฟาร์มจะให้ไรแดงเป็นอาหารหลัก ส่วนอาหารเม็ดจะเป็นอาหารเสริมให้กับปลาหางนกยูง โดยจะให้วันละ 2 ครั้ง คือช่วงเช้า และช่วงเย็น เรื่องสภาพน้ำจะทำการดูดขี้ปลาอย่างน้อย 2-3 วัน ต่อครั้ง โดยจะสูบน้ำออกจากบ่อเลี้ยงประมาณ 50% และเติมน้ำใหม่เข้าไป 50% โรคที่พบส่วนใหญ่จะมีโรคจุดขาว และโรคหางเปื่อย ซึ่งมักพบบ่อยในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง หรือในช่วงอากาศหนาว โดยทางฟาร์มจะใส่ยาดักไว้ก่อนซึ่งจะเป็นยาแก้อักเสบ สำหรับช่วงหน้าร้อนปลาจะสมบูรณ์มากที่สุด เลี้ยงง่าย และไม่ค่อยเป็นโรค
การเตรียมบ่อเลี้ยงหากเป็นบ่อปูนต้องแช่น้ำทำความสะอาดปูน 7 วัน และทำการเตรียมน้ำ (กรณีใช้น้ำประปา) ต้องพักน้ำทิ้งไว้อย่างน้อย 1 วัน หากเป็นน้ำกรอง หรือน้ำบาดาล สามารถนำมาใช้ได้เลย สำหรับการปล่อยพ่อแม่พันธุ์จะปล่อยในอัตราส่วนตามพื้นที่ที่เลี้ยง อาทิเช่น หากเป็นบ่อปูนวงกลมกว้าง 1 เมตร ลึก 40-50 เซนติเมตร ก็สามารถปล่อยตัวเมีย 150 ตัว ต่อตัวผู้ 20-30 ตัว หรือเฉลี่ยประมาณตัวผู้ 1 ตัว ต่อตัวเมีย 4 ตัว
โดยการเพาะพันธุ์เมื่อปล่อยทั้งตัวผู้และตัวเมียลงไปยังบ่อเลี้ยงแล้ว จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ก็จะได้ลูกปลาออกมา ควรทำการคัดแยกลูกปลาออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้พ่อแม่พันธุ์กินลูกปลา หลังจากนั้นนำลูกปลามาพักไว้ในบ่ออนุบาล ซึ่งอาหารจะให้เป็นอาหารสำหรับลูกปลาโดยเฉพาะ จากนั้นอายุปลาประมาณ 1 เดือน จะทำการแยกตัวผู้ และตัวเมียออกจากกัน จะทำให้ปลาเจริญเติบโตไวขึ้น ที่สำคัญควรเปิดปั๊มออกซิเจนสำหรับปลาไว้ในบ่อเลี้ยงด้วย เพราะจะเป็นการช่วยให้สัดส่วนของปลาดูสวยงามมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปลาได้แหวกว่ายในกระแสน้ำภายในบ่อเลี้ยง จากนั้นอีกประมาณ 40-50 วัน ก็สามารถคัดเกรดส่งขายได้แล้ว
ซึ่งราคาขายปลีกจะอยู่ที่คู่ละ 150 – 300 บาท เป็นราคาปลาเกรดจะมีสายพันธุ์หูช้าง เรดโกล บลูเทล เรดเทล โมเสค และสายพันธุ์อื่นๆในฟาร์มกว่า 60 ชนิด โดยจะจำหน่ายผ่านช่องทางเพจเฟซบุ๊ก หรือลูกค้าที่สนใจเดินทางมาเลือกซื้อจากที่ฟาร์มเลี้ยงโดยตรง นอกจากนี้ยังที่มีบริษัทมารับซื้อจะเป็น 3 พันธุ์หลักๆ คือ สายพันธุ์หูช้างโมเสค หูช้างเรดเทล และฟลูเรด โดยจะส่งขายให้กับบริษัทที่รับซื้อเฉลี่ยเดือนละประมาณ 5-6 หมื่นตัวต่อเดือน (เฉพาะตัวผู้) ส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เยอรมัน ศรีลังกา และเวียดนาม สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยเดือนละ 5 แสนบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ปัจจุบันได้มีลูกฟาร์มกว่า 20 ราย เป็นเครือข่ายในการเพาะเลี้ยง โดยทางฟาร์มจะให้พ่อแม่พันธุ์ไปเพาะและรับซื้อลูกปลา เพื่อส่งออกต่างประเทศผ่านบริษัทกลาง หากรวมรายได้จากลูกฟาร์มสามารถสร้างเม็ดเงินได้มากกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือนเลยทีเดียว
เมื่อถามถึงทิศทางด้านการตลาด สำหรับปลาหางนกยูงคัดเกรด ในอนาคตจะเป็นเช่นไร…? คุณฟ้า บอกว่า ส่วนตัวมองว่าการเพาะเลี้ยงปลาหางนกยูงคัดเกรดยังไปได้สวย เนื่องด้วยในปัจจุบันมีสังคมโซเชียลเข้ามา ทำให้การประชาสัมพันธ์เข้าถึงกลุ่มคนที่สนใจได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน รวมถึงแหล่งจำหน่ายปลาสวยงามก็มีอยู่ทั่วประเทศ
การทำให้ตู้ปลาหรือบ่อปลาดูสวยขึ้น สามารถตกแต่งด้วย พันธุ์ไม้น้ำหลากหลายชนิด แต่หากจะทำให้พันธุ์ไม้น้ำสวย สมบูรณ์ ต้องบำรุงด้วยปุ๋ยที่ไม่ทำให้น้ำเสียและที่สำคัญต้องไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ วันนี้ปุ๋ยอินทรีย์ไซโต มีการคิดค้นสูตรที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียดังกล่าว ซึ่งสูตรนี้อยู่ในผลภัณฑ์ ปุ๋ยไซโตสำหรับบัวและไม้น้ำ
- เร่งการออกดอก แตกใบใหม่ ดอกโต สีสดสวย ร่วงโรยช้า ออกดอกตลอดปี
- เร่งการแตกหน่อ แตกกอที่สมบูรณ์
- แก้ปัญหาบัวใบเล็ก แคระแกน ไม่ออกดอก เห็นผลภายใน 2 เดือน
- ไม่เป็นอันตรายต่อปลาและสัตว์น้ำ
(หากบัวคงเหลือแต่หัว ช่วงแรกให้ใส่ปุ๋ยเคมีกระตุ้นในช่วงแรก เมื่อเริ่มแตกใบเล็กๆใส่ปุ๋ยอินทรีย์ไซโตสำหรับบัว ใบจะขยายใหญ่และออกดอกภายใน 2 เดือน)
ที่มา www.cyto.biz(ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยมูลค้างคาว ปุ๋ยไซโต)
Comments