top of page

ผลิตกุหลาบจิ๋วด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ไม้ดีมีคุณภาพ ทำรายได้ตลอดทั้งปี


การผลิตกุหลาบจิ๋ว คือการนำกุหลาบในกลุ่มกุหลาบหนู (miniature rose) ที่มีการจำหน่ายในตลาดการค้าทั่วไป มาคัดเลือกพันธุ์เพื่อให้มีทรงพุ่มกะทัดรัด ออกดอกสวยงาม มาผ่านกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช (plant tissue culture) ซึ่งวิธีนี้เป็นการขยายพันธุ์พืชอีกวิธีหนึ่ง ทำให้ได้ต้นกุหลาบหนูมีความสูงประมาณ 2-3 เซนติเมตร สามารถนำไปปลูกเลี้ยงในภาชนะขนาดเล็กและเจริญเติบโตได้รวดเร็ว ออกดอกสวยงามเหมือนต้นแม่พันธุ์เดิมทุกประการ ต่างกันที่ต้นกุหลาบหนูที่ผลิตโดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะมีขนาดต้นที่เล็กลง จึงมักเรียกกุหลาบเหล่านี้ว่า กุหลาบจิ๋ว หรือ เบบี้โรส


คุณวรนัฐ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา อยู่บ้านเลขที่ 189 หมู่ที่ 4 ตำบลเหมืองแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งเกษตรกรที่มีความชำนาญในการพัฒนาและขยายพันธุ์กุหลาบจิ๋วได้เป็นอย่างดี และมีคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ พร้อมทั้งมีการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้กุหลาบตอบโจทย์กับความสนใจของลูกค้า จึงเกิดเป็นงานสร้างรายได้อย่างดีทีเดียว

คุณวรนัฐ เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนนั้นมีอาชีพรับราชการอยู่สังกัดกรมส่งเสริมการเกษตรถึง 18 ปี ต่อมาได้ลาออกจากงานรับราชการมาดำเนินงานที่เกี่ยวบกับการทำงานในห้องแล็บเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อทางด้านกล้วยไม้สกุลฟาแลนนอปซิส และเมื่อทำอยู่ได้สักระยะหนึ่งจึงได้มาเปิดห้องแล็บการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยตนเองในปี 2550


“สายงานที่ผมทำมาตั้งแต่รับราชการ ก็จะเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นส่วนใหญ่ พอมีโอกาสก็ได้ทำการศึกษาต่อ และมาทำงานเกี่ยวกับด้านนี้อีกเป็นลำดับ ทำให้มีองค์ความรู้ในเรื่องของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งช่วงที่รับราชการอยู่มีโอกาสได้เรียนรู้ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกุหลาบจิ๋ว หลักๆ สมัยนั้นจะเป็นกุหลาบจิ๋วที่มีแต่ดอกสีแดงเพียงสีเดียว พอผมได้ทำงานมาเรื่อยๆ และมีโอกาสมาเปิดห้องแล็บเป็นของตนเอง ก็ได้มาทำงานวิจัยในเรื่องของกุหลาบจิ๋วชนิดนี้ จากที่มีสีแดงเพียงสีเดียว ก็พัฒนาจากกุหลาบหนู ขึ้นมาเรื่อยๆ ให้มีจำนวนสีที่มากขึ้น ทำให้ปัจจุบันนี้ทางแล็บของเราสามารถทำได้ถึง 7 รูปทรง 7 สี ที่เกิดจากการคัดสายพันธุ์จากการทดลองด้วยวิธีการต่างๆ แต่สีหลักก็ยังคงสีแดงไว้” คุณวรนัฐ เล่าถึงที่มา

ในขั้นตอนของการผลิตกุหลาบจิ๋วให้ได้คุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาดนั้น คุณวรณัฐ บอกว่า จะคัดเลือกต้นกุหลาบให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด เป็นสายพันธุ์ดีมีรูปทรงและดอกที่สวยงามถูกต้องตามพันธุ์ จากนั้นนำชิ้นส่วนข้อหรือตากุหลาบที่คัดเลือกไว้ มาฟอกฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ในสารฟอกฆ่าเชื้อ แล้วจึงนำชิ้นส่วนที่ผ่านการฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว มาผ่านการเพาะเลี้ยงบนวุ้นอาหารที่เตรียมไว้ ให้อยู่ในภาชนะและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อให้ชิ้นส่วนที่เพาะเลี้ยงเพิ่มจำนวนยอดอ่อนให้มากขึ้น และนำยอดอ่อนที่ได้มาเลี้ยงในวุ้นอาหารเพื่อชักนำให้ไม้เกิดราก และเมื่อองค์ประกอบมีครบก็จะนำไม้ออกมาอุบาลและปลูกในสภาพแวดล้อมธรรมชาติต่อไป

“การชักนำไม้พันธุ์ดีที่เราต้องการทำให้เกิดยอดใหม่ ก็จะใช้เวลาอย่างต่ำอยู่ที่ 8-12 เดือน มีการเปลี่ยนวุ้นอาหารให้กับไม้ทุก 1 เดือนครั้ง ซึ่งระยะเวลามากน้อยขึ้นอยู่ว่าเราต้องการทำจำนวนเยอะขนาดไหน การแตกยอดก็จะเป็นแบบทวีคูณ จาก 1 ยอด เป็น 2 ยอด จาก 2 ยอด เป็น 4 ยอด และจาก 4 ยอด เป็น 8 ยอด เพิ่มจำนวนแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนได้จำนวนที่เราต้องการ จากการเพาะเลี้ยงเพื่อชักนำให้เกิดยอด พอเราได้จำนวนที่เราต้องการแล้ว ก็จะนำยอดที่ได้มาเปลี่ยนเลี้ยงในวุ้นอาหารที่ชักนำให้เกิดราก ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ไม้ที่เป็นชิ้นส่วนยอดทั้งหมดก็จะเกิดรากสมบูรณ์” คุณวรนัฐ บอก

เมื่อกุหลาบที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีระบบยอดและรากแล้ว ในขั้นตอนต่อไปจะนำไม้ออกจากระบบการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาอนุบาลในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ เพื่อปลูกลงในวัสดุปลูกต่างๆ ที่เตรียมไว้ โดยนำไม้ออกจากขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จากนั้นล้างรากให้สะอาดนำกุหลาบจิ๋วที่ได้มาปลูกกับวัสดุปลูกจำพวกดินร่วนผสมอินทรียวัตถุ เพื่อเป็นการอนุบาลให้กุหลาบจิ๋วมีความแข็งแรงต่อไป


การดูแลกุหลาบจิ๋วในช่วงอนุบาล จะรดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง โดยดูสภาพอากาศเป็นหลัก แต่ถ้าภายในวัสดุปลูกยังมีความชื้นอยู่ ก็จะรดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้ง ก็เพียงพอ

“พอเราอนุบาลในถาด 104 หลุม ได้สัก 1 เดือน ไม้ก็จะเริ่มมีตุ่มดอก ระยะนี้ถ้ามีลูกค้าติดต่อขอซื้อไปก็จะขายแบบยกถาดไปเลย แต่ถ้าไม่ขายในระยะนี้ ผมก็จะนำมาแยกปลูกลงในกระถาง ขนาด 2 นิ้ว ต่อไป เพื่อให้เป็นกุหลาบจิ๋วอีกขนาดหนึ่ง ขายเป็นกุหลาบจิ๋วไม้กระถาง เป็นไม้อีกขนาดหนึ่ง ซึ่งก่อนที่จะส่งขายให้ลูกค้า ก็จะมีการใส่ปุ๋ย เพื่อให้มีดอกที่สวย ก่อนที่จะส่งไม้กระถางขายให้กับลูกค้าประมาณ 15 วัน”



ปุ๋ยไซโตด้วยคุณประโยชน์มากมาย

- เร่งดอก เร่งราก บำรุงใบ ใช้กับไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้เลื้อยทุกชนิด เช่น ชวนชม กุหลาบ โป๊ยเซียน บอนสี พลูด่าง เฟิร์น สับปะรดสี ฯลฯ

- ไม้ดอก ดอกสีสด ติดดอกนาน ร่วงโรยช้าด้วย ออกดอกตลอดปี  

- ไม้ผล ขั้วดอกเหนียว ติดดอกนาน ร่วงโรยช้า ด้วยสูตรผสมของฮอร์โมนไซโตไคนิน ทำให้มีโอกาสได้รับการผสมเกสรมากขึ้น ไม้ผลจึงผลดก ลูกโต น้ำหนักดี รสชาดหวานมากจากสูตรผสมของมูลค้างคาวสูงถึง 50%

- พืชสมุนไพร พืชผักสวนครัว ผลผลิตสูง ป้องกันโรคใบหยิก รากเน่า เก็บเกี่ยวได้ยาวนานขึ้น เช่น พริก ถั่ว มะเขือ บวบ แตงกวา ตะไคร้ โหระพา แมงลัก ทับทิม พลู พริกไทย

- สนามหญ้า,ไม้คลุมดิน,ไม้เลื้อย ทำให้สมบูรณ์ แข็งแรง ไม่แห้งตายง่าย ทนความแล้งได้ดีมาก

 วิธีการใช้

- ไม้ดอก ไม้ประดับ 1 ช้อนชา/ต้น ทุก 1-2 เดือน

- ไม้ผล ว่านรอบๆต้น รัศมีทรงพุ่มเมตรละ 1 กก.

- พืชผักสวนครัว 1 ช้อนชา/ต้น ทุก 1-2 เดือน

- สนามหญ้า 15 ตรม. / 1 ถุง (500 กรัม) โรยและฉีดน้ำตามให้ทั่วสนาม


ในเรื่องของการทำตลาดเพื่อจำหน่ายกุหลาบจิ๋วนั้น คุณวรนัฐ บอกว่า เกิดจากการที่ไม้ภายในสวนได้ออกตามสื่อด้านการเกษตรต่างๆ จึงทำให้ลูกค้าที่มีความสนใจได้รู้แหล่งผลิต และเข้ามาติดต่อขอซื้อไม้มากขึ้น ทำให้เขาสามารถวางแผนการผลิตอย่างชัดเจนตามจำนวนที่ลูกค้าสั่ง ส่งผลให้ผลิตกุหลาบจิ๋วไม่ล้นตลาดสามารถจำหน่ายได้ราคา

“สมัยก่อนกุหลาบจิ๋วจะมีดอกสีแดงเพียงสีเดียว พอลูกค้าเริ่มมีความต้องการมากขึ้น ก็ได้พัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมาเรื่อยๆ ให้มีมากสีเพื่อลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น สรุปว่าผลตอบรับก็ดี อย่างสีขาวที่มีการพัฒนาขึ้นมา ยังสามารถนำมาเป็นจุดขายช่วงวันแม่ได้อีกด้วย เพราะว่าลักษณะดอกคล้ายๆ กับดอกมะลิ ดังนั้นการพัฒนาให้ได้สายพันธุ์ต่างๆ ขึ้นมา ก็เพื่อตอบโจทย์ให้กับลูกค้าได้มีทางเลือกอยู่เสมอ โดยสวนของเราก็จะไม่หยุดที่จะพัฒนา จะทำให้ดีมีคุณภาพต่อไปเรื่อยๆ” คุณวรนัฐ บอก

ราคาจำหน่ายกุหลาบจิ๋วไซซ์ขนาดอยู่ในถาด 104 หลุม จำหน่ายอยู่ที่ ถาดละ 2,500 บาท ส่วนกุหลาบจิ๋วที่ย้ายมาปลูกในกระถาง ขนาด 2 นิ้ว จำหน่ายอยู่ที่ กระถางละ 40 บาท ซึ่งการเลือกแต่ละขนาดขึ้นอยู่กับลูกค้าว่าต้องการนำไปจำหน่ายต่อในลักษณะการทำตลาดในรูปแบบใด

Comentários


bottom of page